ท้องผูกเรื้อรัง (Chronic Constipation)
อาการท้องผูกเป็นอาการที่พบได้บ่อย ในคนไทยมีการศึกษาพบว่า 24% ของประชาชนชาวไทยคิดว่าตนเองมีปัญหาท้องผูก แต่เมื่อสอบถามในรายละเอียดแล้วพบว่าคนไทยประมาณ 8% มีปัญหาในการเบ่งอุจจาระลำบากและ 3% มีปัญหาถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นอาการท้องผูกจึงถือเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งแม้ว่าอาการท้องผูกส่วนใหญ่จะไม่ทำให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายถึงชีวิต แต่ก็มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมากโดยเฉพาะในรายที่เป็นรุนแรง
ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกรุนแรงเรื้อรังประมาณหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งมีสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ แต่ในปัจจุบันผู้ป่วยท้องผูกส่วนใหญ่มักจะได้รับการละเลยเนื่องจากแพทย์มักเห็นว่าเป็นปัญหาที่ไม่ฉุกเฉิน และรุนแรงหรือเห็นว่าเป็นโรคที่ไม่มีโอกาสรักษาให้หายขาด แพทย์ส่วนใหญ่ จึงมักรักษาผู้ป่วยตามอาการด้วยยาระบายทำให้ผู้ป่วยท้องผูกจำนวนหนึ่งที่สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ความหมายของอาการท้องผูก
โดยทั่วไปอาการท้องผูก หมายถึง ภาวะที่มีความถี่ในการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติ ในผู้ป่วยบางคนอาจมีความถี่ในการถ่านอุจจาระปกติ แต่ในการถ่ายแต่ละครั้งจะถ่ายด้วยความยากลำบากก็ถือว่าผู้ป่วยมีปัญหหาท้องผูกเช่นกัน ในคนปกติจะถ่ายอุจจาระตั้งแต่วันละ 3 ครั้ง ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นคนที่ถ่ยอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์จะถือว่ามีอาการท้องผูก อาการท้องผูกมักสัมพันธ์กับการถ่ายอุจจาระลำบาก ต้องใช้เวลนานเบ่งนานกว่าปกติ หรือมีอาการเจ็บทวารหนักเวลาถ่าย คนที่มีอาการท้องผูกเกิดขึ้นนานติดต่อกันเกิน 3 เดือน จะถือว่ามีอาการท้องผูกเรื้อรัง
โดยมีหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยท้องผูก ดังนี้
โดยมีหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยท้องผูก ดังนี้
- ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ต้องเบ่งมากกว่าปกติ
- อุจจาระเป็นก้อนแข็ง
- รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด
- มีความรู้สึกว่าถ่ายไม่ออกเนื่องจากมีสิ่งอุดกั้นบริเวณทวารหนัก
ถ้ามีอาการดังกล่าวข้างต้นตั้งแต่สองอาการขึ้นไป บ่อยมากกว่า 25% ของการถ่ายทั้งหมด หรือเวลาที่มีการถ่ายผิดปกติข้างต้นทั้งหมดรวมกันมากกว่า 3 เดือน (อาการไม่จำเป็นต้องเป็นติดต่อกันทุกวัน) ในหนึ่งปี จะถือว่ามีอาการท้องผูก
ถ่ายได้บ่อยแต่ถ่ายอุจจาระลำบากก็เป็นปัญหา
จากเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าในผู้ป่วยบางรายที่สามารถถ่ายอุจจาระได้มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ถ้าในการถ่ายอุจจาระแต่ละครั้งถ่ายด้วยความยากลำบาก เช่น ต้องเบ่งมาก หรือรู้สึกถ่ายไม่สุด แพทย์ก็ถือว่าผู้ป่วยมีปัญหาท้องผูกเช่นกัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีปัญหาเกี่ยวกับทวารหนัก และการควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการถ่าย ซึ่งสามารถที่จะรักษาให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่มาปรึกษาด้วยอาการท้องผูกแม้ว่าจะถ่ายอุจจาระมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการถ่าย การสอบถามอาการเกี่ยวกับการขับถ่ายลงไปในรายละเอียดจะทำให้เราเข้าใจปัญหาของผู้ป่วยมากขึ้น
สาเหตุของอาการท้องผูก
สาเหตุของอาการท้องผูกแบ่งได้เป็น 4 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ
1. สาเหตุที่เกิดจากโรคทางกาย
โรคทางกายที่สามารถเป็นสาเหตุของอาการท้องผูกเรื้อรัง ได้แก่
- เบาหวาน
- ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ
- ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง
- โรคทางระบบประสาทต่าง ๆ เช่น ได้รับบาดเจ็บหรือโรคที่สมองหรือไขสันหลัง, โรค parkinson’s หรือโรค multiple sclerosis
2. สาเหตุจากยาที่รับประทานประจำ
มียาหลายชนิดที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกควรได้รับการซักประวัติเกี่ยวกับยาที่ได้รับว่ามียาที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกหรือไม่ ยาที่สามารถทำให้เกิดอาการท้องผูกได้มีดังต่อไปนี้
- กลุ่มยาทางจิตเวช ที่สำคัญและพบบ่อย ได้แก่ ยาที่รักษาอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะยากลุ่ม tricyclic antidepressant เช่น amitryptyline หรือ nortryptyline
- ยาที่มีฤทธิ์ anticholinergic ซึ่งจะทำให้การบีบตัวของทางเดินอาหารน้อยลง ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาลดการบีบเกร็งของลำไส้ที่ใช้แก้ปวดท้อง เช่น buscopan ยารักษาโรค parkinson’s เช่น Levodopa และยาแก้แพ้บางชนิด เช่น chlorpheniramine
- ยากันชัก เช่น dilantin
- ยาลดความดันโลหิต ได้แก่ diltiazem, verapamil, clonidine
- ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของ morphine หรืออนุพันธ์ของ morphine เช่น paracetamol ชนิดที่มีส่วนผสมของ codeine
- เหล็ก ที่มีอยู่ในยาบำรุงเลือด
- ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของ calcium หรือ aluminium
- ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น diclofenac, piroxicam และ indometracin
- ยาอื่น ๆ เช่น cholestyramine
3. การอุดกั้นของทางเดินอาหาร
การอุดกั้นของทางเดินอาหารสามารถทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ซึ่งภาวะดังกล่าวได้แก่
- มะเร็งหรือเนื้องอกของลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก
- ลำไส้ตีบตัน (stricture)
- ลำไส้บิดพันกัน (volvulus)
- ความผิดปกติที่ทวารหนัก เช่น rectocele, rectal prolapsed, หรือตีบตัน
- การลดน้อยลงของปมประสาทบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่เป็นมาแต่กำเนิด (Hirschprung’s disease)
4. สาเหตุที่เกิดจากเคลื่อนไหวของลำไส้หรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ (functional cause)
- การบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่ประสานกับการเบ่ง (anorectal dysfunction)
- การเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่น้อยกว่าปกติ หรือมีการเคลื่อนไหวไม่ประสานกันทำให้อุจจาระเคลื่อนไหวภายในลำไส้ใหญ่ช้ากว่าปกติ (colonic inertia)
- ภาวะลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome)
- สาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ การที่ผู้ป่วยเคลื่อนไหวน้อย รับประทานอาหารที่มีกากน้อย และนิสัยในการขับถ่ายที่ไม่ดี
ในบรรดาสาเหตุของอาการท้องผูกที่กล่าวมาข้างต้นพบว่ามีผู้ป่วยเป็นจำนวนน้อยเท่านั้น ที่อาการท้องผูกมีสาเหตุมาจากโรคทางกาย ยา หรือโรคของลำไส้ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังจะหาสาเหตุไม่พบ ซึ่งถ้านำผู้ป่วยกลุ่มนี้มาตรวจดูการเคลื่อนไหวของลำไส้ และการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณทวารหนักจะพบว่าผู้ป่วยในกลุ่มนี้ประมาณครึ่งหนึ่ง จะมีสาเหตุมาจากโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ประมาณหนึ่งในสามจะมีสาเหตุจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ (anorectal dysfunction) และที่เหลือจะมีสาเหตุมาจากลำไส้เคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ (colonic inertia) ซึ่งสาเหตุของความผิดปกติในผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ทราบกันชัดเจน แต่พบว่าการมีการทำงานของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติเป็นภาวะที่สามารถที่จะรักษาให้หายได้ ดังนั้นการรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติในผู้ป่วยท้องผูกเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ รวมทั้งการรู้จักแนวทางการดูแลรักษาจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น